สถิติ
เปิดเมื่อ14/12/2015
อัพเดท4/01/2016
ผู้เข้าชม4573
แสดงหน้า5956
ปฎิทิน
August 2025
Sun Mon Tue Wed Thu Fri Sat
     
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
      




บทความ

อาชาบำบัด
อาชาบำบัด - Hippotherapy
สื่อภาษาจากม้า เพื่อเยียวยาเด็กออทิสติก
 

ว่าด้วยเรื่องการขี่ม้าบำบัด

          จะว่าไปแล้ว การใช้สัตว์มาช่วยในการบำบัดรักษาคนนั้นมีมาช้านานแล้ว และไม่ได้อยู่จำกัดเฉพาะที่เป็นม้าเท่านั้น หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องการใช้สุนัขช่วยฟื้นฟูจิตใจผู้ป่วย หรือใช้ปลาโลมาช่วยบำบัดโรคซึมเศร้า นอนไม่หลับ สมาธิสั้น กระทั่งเชื่อว่าคลื่นเสียงของปลาโลมาช่วยกระตุ้นพัฒนาการของทารกในครรภ์ได้ดีอีกด้วย แต่ความวิเศษของม้าที่เหนือกว่าสัตว์ชนิดอื่นๆ คงอยู่ที่สรีระการเคลื่อนไหว ซึ่งมนุษย์สามารถขึ้นไปนั่งขี่บนหลังม้า รับรู้ และสัมผัสการเคลื่อนไหวนั้นๆ ได้นั่นเอง โดยนักกายภาพบำบัด หลายคนนำเอาความวิเศษตรงจุดนี้มาช่วยแก้บัญหาของเด็กพิเศษที่มีความผิดปกติทางการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ และข้อต่อ เช่น โรคสมองพิการ หรือที่บางคนเรียกสั้นๆ ว่า CP ย่อมาจาก Cerebral Palsy ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้บางคนมีอาการเกร็งไปทั้งตัว ไม่สามารถเดินได้ตามปกติ บางคนมีการทำงานของกล้ามเนื้อไม่ประสานกัน กลไกอัตโนมัติบกพร่อง การทรงตัว และการเคลื่อนไหวผิดปกติ ตลอดจนร่างกายมีการทำงานที่ไม่สมาตรกัน รวมถึงเด็กที่มีกระดูกสันหลังคด เป็นอัมพาตครึ่งท่อน แม้เด็กกลุ่มเด็กออทิสติกที่มีปัญหาด้านการควบคุมการเคลื่อนไหว เป็นต้น
 

ม้าช่วยได้อย่างไร

          หลายคนอาจจะนึกภาพไม่ออกว่า แล้วม้าจะช่วยรักษา และฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกายเด็กเหล่านี้ได้อย่างไร แต่ถ้าใครเคยได้ลองขี่ม้ามาแล้วคงจะทราบดีว่าในระหว่างที่ม้าเดินหรือวิ่งนั้น เราต้องใช้ความพยายามในการทรงตัวรักษาสมดุลของร่างกายเพื่อไม่ให้ตกลงมามากแค่ไหน หนำซ้ำถ้าเราเกิดนั่งอยู่ในท่าที่ไม่เหมาะสม ม้าอาจจะมีปฎิกริยาตอบกลับโดยไม่ยอมเดินตามคำสั่งอีกด้วย ซึ่งระหว่างที่เราต้องนั่งหลังตรงอยู่บนหลังม้านั้น เราต้องใช้กล้ามเนื้อในส่วนต่างๆเพื่อควบคุมร่างกายเอาไว้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อหลัง คอ สะโพก และขา ดังนั้นอาจจะกล่าวได้ว่าการขี่ม้าจะมีส่วนช่วยในเรื่องการทรงตัว และการทำให้การทำงานของกล้ามเนื้อของผู้พิการแข็งแรงขึ้นกว่าเดิม มีการตึงตัวอย่างเป็นปกติมากขึ้น อาจารย์กรกฏ เห็นแสงวิไล อาจารย์ประจำภาควิชากายภาพบำบัด คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้กำลังทำวิจัยเรื่องการขี่ม้าบำบัดร่วมกับคณะสัตวแพทย์ อธิบายให้ฟังว่า “เมื่อเด็กขึ้นไปอยู่บนหลังม้า เด็กที่มีปัญหาในเรื่องการทรงตัวก็จะเรียนรู้ในเรื่องการทรงตัว สามารถจัดท่าทางให้ร่างกายสมมาตรกันได้มากขึ้น เด็กที่มีความตึงของกล้ามเนื้อผิดปกติก็ช่วยลดอาการเกร็งลงได้มาก โดยร่างกายจะมีการปรับตัวเองเป็นเหมือนกลไกอัตโนมัติหรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นสัญชาติญาณความอยู่รอดของมนุษย์ที่พยายามที่จะรักษาสมดุลของตัวเองไม่ให้ตกลงมาจากหลังม้าก็เป็นได้”

          นอกจากนี้ ถ้าเราสังเกตเด็กที่มีอาการเกร็งเหล่านี้ดีๆ จะพบว่าปัญหาหลักอีกอย่างหนึ่ง คือพวกเขาจะมีขาที่หนีบเข้าหากันอยู่ตลอดเวลา ทำให้ไม่สามารถทรงตัวได้เองเวลายืน ดังนั้นการนั่งคร่อมบนหลังม้าก็จะมีส่วนช่วยให้เด็กสามารถกางขาออกได้มากขึ้นด้วย ที่สำคัญสำหรับเด็กที่เคลื่อนไหวผิดปกติ ม้าก็จะมีส่วช่วยให้เขาเรียนรู้การเคลื่อนไหวอย่างสมดุลมากขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากลักษณะการเคลื่อนไหวของม้าซึ่งเป็นจังหวะขึ้น-ลง ซ้าย-ขวา หน้า-หลัง นั้นคล้ายกับจังหวะการเดินของมนุษย์เป็นอย่างมาก ซึ่งจังหวะการเดินซ้ำๆ กันอย่างต่อเนื่องของม้านี้เองจะส่งผลต่อการจดจำลักษณะการเคลื่อนไหว ช่วยกระตุ้นพัฒนาการการเคลื่อนไหว ทักษะการรับรู้ การประสานงานของร่างกาย และการมีปฏิกิริยาโต้ตอบกลับของผู้ที่อยู่บนหลังม้าได้เป็นอย่างดี อาจารย์กรกฎยังกล่าวอีกว่า “เมื่อการเคลื่อนไหวสมดุล ระบบการทำงานของร่างกายส่วนต่างๆ ก็จะทำงานได้อย่างเป็นระบบมากขึ้นด้วย” ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่เราควรตระหนักอยู่เสมอ คือการเคลื่อนไหวอย่างถูกแบบแผนเป็นเสมือนรากฐานสำคัญในการพัฒนาศักยภาพ ความสามารถในการเรียนรู้ต่างๆ อันจะช่วยให้เขาสามารถช่วยตัวเองและดำรงชีวิตอยู่ในสังคมนี้ได้ต่อไป
 

ม้าพัฒนาจิตใจ

          สิ่งที่เด็กพิเศษทั้งหลายได้รับจากการขี่ม้าเหนือสิ่งอื่นใด ก็คงเป็นเรื่องของสภาพจิตใจ ซึ่งการขี่ม้าจะช่วยให้เด็กเกิดความมั่นใจ ภูมิใจ และเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น ลองคิดดูว่าเด็กจะรู้สึกยิ่งใหญ่แค่ไหน หากตนเองซึ่งตัวเล็กกระจิดริดสามารถบังคับม้าให้เชื่อฟังไปในทิศทางที่ตนเองต้องการได้ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กพิการที่ตนไม่อาจเดินได้ แต่สามารถที่จะขี่ม้าให้เดินไปได้ด้วยตนเอง หรือในกลุ่มเด็กที่รู้สึกแปลกแยกจากสังคม คือเขาจะรู้สึกว่าเขาก็ทำเหมือนกับที่คนปกติคนอื่นทำได้เหมือนกัน ประกอบกับการได้อยู่ท่ามกล่างธรรมชาติในอากาศที่บริสุทธิ์ปลอดโปร่งระหว่างการขี่ม้านั้น ก็มีส่วนช่วยให้เขาผ่อนคลาย รู้สึกมีอิสรภาพในการโลดแล่นไปมาได้มากขึ้น เมื่อสภาพจิตใจดี การทำงานต่างๆ ในระบบร่างกายก็ดีตามไปด้วย

          นอกจากนี้ ม้ายังมีส่วนช่วยกล่อมเกลาจิตใจเด็กที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวให้อ่อนโยนขึ้น สำหรับเด็กที่ได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง ม้าจะช่วยสร้างความไว้วางใจ และสอนให้หัวใจของเขารู้จักคำว่า “รัก” มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเด็กได้กอด หอม ลูบคอ แปรงขน หรือป้อนอาหารให้ม้าด้วยแล้ว ก็ล้วนทำให้เด็กเกิดความรักความผูกพันขึ้นได้ทั้งสิ้น ยิ่งถ้าเป็นม้าที่เด็กขี่เองเป็นประจำ เขาก็จะยิ่งรู้สึกรักและผูกพันมากเป็นพิเศษ ซึ่งพัฒนาการทางด้านสภาวะ อารมณ์ และจิตใจที่เกิดขึ้นนี้จะมีส่วนช่วยให้เขาเจริญเติบโตทางวุฒิภาวะ และใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขต่อไปด้วย

           แม้การขี่ม้าไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะช่วยให้เด็กหายได้ ทว่าเป็นเพียงอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยเสริมให้เด็กมีพัฒนาการที่ดีขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับคือ กิจกรรมขี่ม้าบำบัดก็ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่น่าสนใจ ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อเด็กพิเศษ สร้างความสุขให้กับครอบครัว และผู้ที่มาช่วยทำกิจกรรม แม้กระทั่งเป็นสนามให้ม้าได้ออกกำลังกายไปในตัวด้วย ซึ่งหากได้รับการสนับสนุน และได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่ายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจากผู้ที่มีม้า ผู้ที่มีสถานที่ ผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับการดูแลรักษาเด็ก ทั้งด้านกายภาพบำบัด กิจกรรมบำบัด อรรถบำบัด ตลอดจนผู้ที่มีทุนทรัพย์ และอาสาสมัครที่ลงแรงมาช่วยดูแลเด็ก การขี่ม้าบำบัดก็น่าจะเป็นอีกหนทางหนึ่งที่ช่วยเด็กเหล่านี้ให้ดีขึ้นได้ ถือเป็นการช่วยลดภาระสังคมไปในตัวด้วย และที่สำคัญเราอาจได้ทรัพยากรที่ทรงคุณค่ากลับคืนมาสร้างคุณประโยชน์ให้ประเทศชาติก็เป็นได้